ไขความลับปราบไวรัส "ซิกา"
ข่าวการแพร่ระบาดของโรค "ไข้ซิกา" ซึ่งขณะนี้กำลังเกิดขึ้นอย่างรุนแรงและรวดเร็วในประเทศแถบละตินอเมริกาและแคริบเบียนรวมกว่า 20 ประเทศได้สร้างความหวั่นวิตกให้กับประชาคมโลกอีกครั้ง หลังจากองค์การอนามัยโลกประกาศให้การระบาดของไวรัสซิกาเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินระดับโลก เพราะแม้โรคนี้จะมีอัตราการเสียชีวิตต่ำ แต่ผู้เชี่ยวชาญได้ออกมาเตือนว่าการแพร่ระบาดของโรคนี้อาจเป็นภัยคุกคามร้ายแรงยิ่งกว่าการแพร่ระบาดของเชื้ออีโบลา ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปมากกว่า 11,000 คนในแอฟริกา เนื่องจาก 80 เปอร์เซ็นต์ ของผู้ติดเชื้อและเป็นพาหะจะไม่แสดงอาการใดๆ เด่นชัด ทำให้การติดตามหรือวินิจฉัยโรคเป็นไปได้ยาก โดยเฉพาะสตรี มีครรภ์เป็นกลุ่มเสี่ยงที่น่ากังวลมากที่สุด เนื่องจากอาจมีผลทำให้เด็กเกิดความพิการ สมองฝ่อ ศีรษะเล็กผิดปกติ หรือมีภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ได้
องค์การอนามัยโลกคาดการณ์ว่า ในปีนี้อาจมีผู้ติดเชื้อไวรัสซิกาในทวีปอเมริกามากถึง 3-4 ล้านคน ซึ่งจำนวนดังกล่าวนับรวมผู้ติดเชื้อ ที่ไม่แสดงอาการป่วยเข้าไปด้วย โดยเฉพาะในบราซิลพบทารกที่มีภาวะศีรษะลีบแล้วถึงกว่า 4,000 ราย ขณะที่ในไทยแม้จะยังไม่มีการระบาดของโรค พบผู้ป่วย 2-5 ราย ในปี 2555-58 ล่าสุดปีนี้พบเพียง 1 ราย แต่กระทรวงสาธารณสุขก็ได้ประกาศให้โรคไข้ซิกาเป็นโรคติดต่อที่ต้องแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่แล้ว สะท้อนถึงความร้ายแรงของโรคได้เป็นอย่างดี
ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา หัวหน้าคณะ นักวิจัย Operation BIM นักวิทยาศาสตร์ไทย ผู้คิดค้นวิธีการดูแลสุขภาพแนวใหม่ด้วยการสร้างภูมิสมดุล (Balancing Immunity) กล่าวว่า ปัจจุบันโรคติดเชื้อไวรัสซิกายังไม่มีวัคซีนป้องกัน หรือยารักษาเฉพาะ ได้แต่รักษาตามอาการ โดยมียุงลายบ้านเป็นพาหะ เช่นเดียวกับโรค ไข้เลือดออก โรคไข้เหลือง และชิคุนกุนยา มีระยะ ฟักตัวเฉลี่ย 4-7 วัน อาการที่พบบ่อยคือ มีไข้ ผื่น ตาแดง ปวดข้อ ข้อบวม ปวดหลัง แต่ส่วนใหญ่ อาการจะไม่รุนแรง สามารถทุเลาลงได้ภายใน 2-7 วัน หากได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที
ในช่วงเวลาที่ยังไม่มีการผลิตวัคซีนป้องกันไวรัสซิกาออกมา ดร.พิเชษฐ์ แนะนำว่า การสร้าง "ภูมิสมดุล" จะช่วยรับมือการติดเชื้อโรคต่างๆ ได้เป็นอย่างดี "การกระตุ้นให้ร่างกายจดจำเชื้อโรคนั้นๆ เพื่อสร้างภูมิต้านทานเป็นหลักการทำงานของวัคซีนทั่วไป ซึ่งโรคแต่ละชนิดจำเป็นจะต้องใช้วัคซีนที่แตกต่างกันไป แต่การต้านทานเชื้อโรคด้วยหลักการสร้างภูมิสมดุลนั้นจะปล่อยให้กลไก "ธรรมชาติ" เข้ามาทำหน้าที่ฟื้นฟูร่างกายด้วยตัวเอง บนพื้นฐานของหลักการใช้อาหารเป็นยา" โดยจากการศึกษาวิจัยพบว่า สารธรรมชาติที่จะช่วยสร้งภูมิสมดุลนี้เกิดจากการนำพืชไทย 5 ชนิด ได้แก่ มังคุด ถั่วเหลือง งาดำ ฝรั่ง บัวบก มาเสริมฤทธิ์กัน
อย่างไรก็ตาม ดร.พิเชษฐ์ กล่าวต่อว่า วิธีป้องกันไวรัสซิกาที่ดีที่สุดคือ ทุกคนต้องร่วมมือ กันกำจัดต้นตอของแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายที่เป็น พาหะของหลายโรค ควบคู่ไปกับการสวมเสื้อผ้ามิดชิด รู้จักทายากันยุงป้องกันมิให้ยุงกัด และหลีกเลี่ยงการเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยงที่มีการระบาดของโรค
ที่สำคัญที่สุดควรหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพตนเองอย่างจริงจัง ทานอาหารมีประโยชน์ ออกกำลังกายเป็นประจำ ทำจิตใจให้แจ่มใส เพื่อให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันโรคที่แข็งแรง อยู่เสมอ
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2559